วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

 ความหมายและประเภทของสื่อสังคมออนไลน์
ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์
          สื่อสังคมออนไลน์ หมายถึง สื่อดิจิทัลที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการทางสังคม (Social Tool) เพื่อใช้สื่อสารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ผ่านทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผู้ใช้ทั้งที่เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีส่วนร่วม (Collaborative) อย่างสร้างสรรค์ ในการผลิตเนื้อหาขึ้นเอง (User-GenerateContent: UGC) ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสียง
ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์

          ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ มีด้วยกันหลายชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะของการนำมาใช้โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม หลักดังนี้
          1. Weblogs หรือเรียกสั้นๆ ว่า Blogs คือ สื่อส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ข้อคิดเห็น บันทึกส่วนตัว โดยสามารถแบ่งปันให้บุคคลอื่นๆ โดยผู้รับสารสามารถเข้าไปอ่าน หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ ซึ่งการแสดงเนื้อหาของบล็อกนั้นจะเรียงลำดับจากเนื้อหาใหม่ไปสู่เนื้อหาเก่า ผู้เขียนและผู้อ่านสามารถค้นหาเนื้อหาย้อนหลังเพื่ออ่านและแก้ไขเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เช่น Exteen, Bloggang, Wordpress,Blogger, Okanation
          

            2. Social Networking หรือเครือข่ายทางสังคมในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายทางสังคมที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล เพื่อให้เกิดเป็นกลุ่มสังคม (Social Community)  เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันทั้งด้านธุรกิจ การเมือง การศึกษา เช่น Facebook, Hi5, Ning, Linked in,MySpace, Youmeo, Friendste
          3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรือที่เรียกกันว่า “บล็อกจิ๋ว” ซึ่งเป็นเว็บเซอร์วิสหรือเว็บไซต์ที่ให้บริการแก่บุคคลทั่วไป สำหรับให้ผู้ใช้บริการเขียนข้อความสั้นๆ ประมาณ 140 ตัวอักษร ที่เรียกว่า “Status” หรือ “Notice” เพื่อแสดงสถานะของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือแจ้งข่าวสารต่างๆ แก่กลุ่มเพื่อนในสังคมออนไลน์ (Online Social Network)  (Wikipedia,2010) ทั้งนี้การกำหนดให้ใช้ข้อมูลในรูปข้อความสั้นๆ ก็เพื่อให้ผู้ใช้ที่เป็นทั้งผู้เขียนและผู้อ่านเข้าใจง่าย ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Twitter
          4. Online Video เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการวิดีโอออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อหาที่นำเสนอในวิดีโอออนไลน์ไม่ถูกจำกัดโดยผังรายการที่แน่นอนและตายตัว ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถติดตามชมได้อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีโฆษณาคั่น รวมทั้งผู้ใช้สามารถเลือกชมเนื้อหาได้ตามความต้องการและยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บวิดีโออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้จำนวนมากอีกด้วย เช่น  Youtube, MSN, Yahoo
         5. Poto Sharing เป็นเว็บไซต์ที่เน้นให้บริการฝากรูปภาพโดยผู้ใช้บริการสามารถอัพโหลดและดาวน์โหลดรูปภาพเพื่อนำมาใช้งานได้ ที่สำคัญนอกเหนือจากผู้ใช้บริการจะมีโอกาสแบ่งปันรูปภาพแล้ว ยังสามารถใช้เป็นพื้นที่เพื่อเสนอขายภาพที่ตนเองนำเข้าไปฝากได้อีกด้วย เช่น  Flickr, Photobucket, Photoshop,Express,  Zooom
          6. Wikis เป็นเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็นแหล่งข้อมูลหรือความรู้ (Data/Knowledge) ซึ่งผู้เขียนส่วนใหญ่อาจจะเป็นนักวิชาการ นักวิชาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งผู้ใช้สามารถเขียนหรือแก้ไขข้อมูลได้อย่างอิสระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online
          7. Virtual Worlds คือการสร้างโลกจินตนาการโดยจำลองส่วนหนึ่งของชีวิตลงไป จัดเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่บรรดาผู้ท่องโลกไซเบอร์ใช้เพื่อสื่อสารระหว่างกันบนอินเทอร์เน็ตในลักษณะโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ซึ่งผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการอาจจะบริษัทหรือองค์การด้านธุรกิจ ด้านการศึกษา รวมถึงองค์การด้านสื่อ เช่น สำนักข่าวรอยเตอร์  สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่เพื่อให้บุคคลในบริษัทหรือองค์กรได้มีช่องทางในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ไปยังกลุ่มเครือข่ายผู้ใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่ม ลูกค้าทั้งหลัก และรองหรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ของบริษัท หรือองค์การก็ได้ ปัจจุบันเว็บไซต์ที่ใช้หลัก Virtual Worlds ที่ประสบผลสำเร็จและมีชื่อเสียง คือ Second life
          8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำคือ Crowd และ Outsourcing เป็นหลักการขอความร่วมมือจากบุคคลในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรูปของเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อค้นหาคำตอบและวิธีการแก้ปัญหาต่างๆทั้งทางธุรกิจ การศึกษา  รวมทั้งการสื่อสาร  โดยอาจจะเป็นการดึงความร่วมมือจากเครือข่ายทางสังคมมาช่วยตรวจสอบข้อมูลเสนอความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะ  กลุ่มคนที่เข้ามาให้ข้อมูลอาจจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่อยู่ในภาคธุรกิจหรือแม้แต่ในสังคมนักข่าว ข้อดีของการใช้หลัก  Crowd souring  คือ  ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิดเพื่อนำ  ไปสู่การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ  ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรือคัดกรองข้อมูลซึ่งเป็นปัญหาสาธารณะร่วมกันได้ เช่น Idea storm, Mystarbucks Idea
 9.Podcasting หรือ Podcast มาจากการรวมตัวของสองคำ คือ “Pod” กับ “Broadcasting” ซึ่ง “POD” หรือ PersonalOn - Demand คือ อุปสงค์หรือความต้องการส่วนบุคคล ส่วน“Broadcasting” เป็นการนำสื่อต่างๆ มารวมกันในรูปของภาพและเสียง หรืออาจกล่าวง่ายๆ Podcast คือ การบันทึกภาพและเสียงแล้วนำมาไว้ในเว็บเพจ (Web Page) เพื่อเผยแพร่ให้บุคคลภายนอก (The public in general) ที่สนใจดาวน์โหลดเพื่อนำไปใช้งาน เช่น Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast
          
10. Discuss / Review/ Opinion เป็นเว็บบอร์ดที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถแสดงความคิดเห็น โดยอาจจะเกี่ยวกับ สินค้าหรือบริการ ประเด็นสาธารณะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เช่น Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp



ความหมายเกี่ยวกับธุรกิจ
                 ธุรกิจ (Business) หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้การผลิตสินค้าและบริการ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน มีการจำหน่าย มีการกระจายสินค้า และมีประโยชน์ คือ ได้กำไรจากสินค้านั้น
         การดำเนินธุรกิจ หมายถึง การทำกิจกรรมใดๆ ที่ทำให้เกิดสินค้าหรือบริการ แล้วมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน และมีวัตถุประสงค์ที่จะได้รับประโยชน์จากสินค้านั้นๆ โดยผ่านช่องทางการจำหน่าย ในรูปแบบของร้านค้า ฝากขาย และดำเนินธุรกิจผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
ความสำคัญของการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานธุรกิจด้านต่างๆ
ความสำคัญของการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานธุรกิจด้านต่างๆ มีดังนี้
1.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจการศึกษา (Education) เช่น
- การเรียนรู้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
- การดุผลการเรียน
2.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจการเงินและการธนาคาร (Finance) เช่น
- การให้บริการกับลูกค้าด้านการเงิน
-การชำระค่าบริการต่างๆ เป็นต้น
3.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานทางด้านธุรกิจโรงแรม (Hotel) เช่น
- การสั่งจองที่พัก
-การเข้าไปดูรายละเอียดที่พัก
4.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจสายการบิน (Airway) เช่น
- การตรวจดูตารางการบิน
- การสั่งจองตั๋วเครื่องบิน 
5.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจการแพทย์ (Medical Profession) เช่น
- การวินิจฉัยโรค
- การเอ็กซเรย์
6.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจบันเทิง เช่น
- การดูตารางการฉายภาพยนตร์
- การฉายภาพยนตร์ตัวอย่าง
7.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจการสื่อสาร (Communication) เช่น
- การรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
8.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ (Stock Exchange) เช่น
- การดูข้อมูลการซื้อ-ขายหุ้น
9.การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานด้านธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ (Printing Media) เช่น
-การดูข้อมูลข่าวสารประจำวัน
ลักษณะของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
                ลักษณะของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) คือธุรกิจที่ดำเนินการซื้อขายบนอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นระบบและเป็นการดำเนินธุรกิจที่น่าเชื่อถือมากกว่า
ข้อดี
- สามารถดำเนินการได้ 24 ชั่วโมง
- ลดปัญหาในการเดินทาง

ข้อเสีย
-ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
-ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้
ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1.ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
-ได้รับความสะดวกรวดเร็วในการซื้อสินค้า
-ทำให้สินค้านั้นถูกลง เพราะไม่ต้องผ่านคนกลาง

2.ประโยชน์ต่อผู้ผลิต
- สามารถขยายตลาดใหม่ได้มากขึ้น
-ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเอกสาร

3.ประโยชน์ต่อผู้จัดจำหน่าย
- เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการขาย
- สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก
วัตถุประสงค์ของการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานธุรกิจ
สรุปได้ดังนี้
1.เพื่อให้ธุรกิจของตนเองพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าบนอินเทอร์เน็ต
2.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเครือข่ายของธุรกิจ
3 .เพื่อให้ข้อมูลของธุรกิจพร้อมให้ลูกค้าเข้ามาค้นหาได้
4.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า
5.เพื่อขยายผลและขอบเขตการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น
6.เพื่อขจัดปัญหาด้านเวลาดำเนินการของธุรกิจ
7.เพื่อขายสินค้าหรือบริการ
8.เพื่อนำเสนอข้อมูลของธุรกิจแบบมัลติมีเดีย (Multimedia)
9.เพื่อเข้าสู่ตลาดที่ลูกค้ามีความต้องการบริโภคสินค้าสูง (Highly Desirable Demographic Market)
Search Engine
     การค้นหาข้อมูล (Search Engineหมายถึง  การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเราเปิดไปทีละ
หน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจะต้อง
ใช้เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่  รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยก
เป็นหมวดหมู่
Web search engine ที่นิยมใช้กันมากที่สุด 3 อันดับ คือ  1. Google  2. Yahoo  3. MSN/Windows Live
ประเภทของการค้นหาข้อมูล Search Engine
     1.  Search Engine  การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง
     Search Engine ประเภทนี้ ช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด  เพียงแค่ระบุคำที่ต้องการค้นหาข้อมูล  

เป็นรูปแบบที่นิยมมาก  เว็บไซต์ที่นิยมใช้ในการค้นหาข้อมูลในแบบนี้  เช่น  www.google.co.th
     2. Subject Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่  มีเว็บไซต์ที่เป็นตัวกรองในการรวบรวมข้อมูล  ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต   

จัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อมูลตามที่ต้องการได้
         การค้นหาข้อมูลวิธีนี้มีข้อดี  คือ  สามารถเลือกจากชื่อไดเรกทอรี่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหา  และสามารถเลือกเข้าไปดูว่า

มีเว็บไซต์บ้างได้ทันที  เช่น  www.sanook.com
     3. Meta search Engines การค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล  เป็นการค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ  Search Engine ในเวลาเดียวกัน  

เพราะเว็บไซต์ที่เป็น Meta search จะไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง  แต่จะค้นหาเว็บเพจที่ต้องการ  โดยวิธีการดึงจากฐานข้อมูลของ
 Search Site  จากหลายแหล่งมาใช้แล้วจะแสดงผลให้เลือกตามความต้องการ  เช่น  www.thaifind.com
       การค้นหาโดยใช้  Search Engine  แบ่งเป็น 2 วิธี      

      1.  การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา  หรือเรียกว่า "คีย์เวิร์ด (Keyword) โดยในเว็บไซต์ต่าง ๆ  ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจะมีช่องเพื่อให้
กรอกคำที่ต้องการค้นหาลงไป  แล้วจะนำคำดังกล่าวไปค้นหาจากข้อมูลที่ได้จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ  เว็บไซต์ที่
ให้บริการ      เช่น  www.google.co.th  การใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาข้อมูลต้องพยายามระบุคำให้ชัดเจน
      2.  การค้นหาจากหมวดหมู่  หรือไดเรกทอรี่ (Directories)  การให้บริการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้เปรียบเสมือนเราเปิดเข้าไปในห้องสมุด  
ที่จัดหมวดหมู่ของหนังสือไว้แล้ว  ภายในหมวดใหญ่นั้น ๆ ประกอบด้วยหมวดหมู่ย่อย ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น  หรือแบ่งประเภท
ของข้อมูลให้ชัดเจน  จะสามารถเข้าไปหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการได้แล้วก็อ่านเนื้อหา  มีเว็บมากมายที่ให้บริการค้นหาข้อมูลในรูปแบบนี้  เช่น  www.siamguru.com www.sanook.com   www.hunsa.com  www.thaiwebhunter.com
     บทสรุปของการเลือกใช้ Search Engine การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต  เป็นการบริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความ

นิยมเป็นอย่างยิ่ง  เนื่องจากบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทีแหล่งข้อมูลอยู่มากมาย  และมีความสะดวกในการค้นหามากกว่าการค้นหา
ข้อมูลจากห้องสมุด  การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้เว็บไซต์ประเภท Search Engine  เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการ
ค้นหาข้อมูลข่าวสารได้
     ประเภทของการค้นหาข้อมูลแบ่งเป็น  3  ประเภท  คือ  การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง  การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่  และการ

ค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล  ผู้ใช้สามารถเลือกวิธีการค้นหาและใช้เทคนิคในการค้นหาข้อมูลช่วย  เพื่อที่จะได้รับข้อมูลให้ตรง
ตามความต้องการและทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้เร็วขึ้นอีกด้วย
     ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นเว็บไซต์ประเภท 
Search Engine และเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลอยู่หลายเว็บไซต์  ทำให้

ผู้ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น  และการใช้บริการรูปแบบนี้เสมือนเป็นการเปิดประตูห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลอยู่มากมาย  ทำให้ข้อมูล
ที่ได้รับไม่เฉพาะเจาะจงอยู่เพียงในขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งเท่านั้น  แต่สามารถหาได้จากหลายแหล่งข้อมูลทั่วโลก
ความหมายของการรับ-ส่งข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
    การรับ-ส่งข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail) หรือที่นิยมเรียกกันว่า อีเมล 
หมายถึง การสื่อสารหรือส่งข้อความจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งผ่านไปเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยส่งผ่านระบบ
เครือข่าย (network)

ประโยชน์ของการรับ-ส่งข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
  1. ทำให้การติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วทันที่
  2. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับที่ต้องการได้ทุกเวลา
  3. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับหลายๆ คนได้ในเวลาเดียวกัน
  4. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปส่งจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์หรือที่ทำการไปรษณีย์
  5. ผู้รับจดหมายสามารถเรียกอ่านจดหมายได้ทุกเวลาตามสะดวก
  6. สาารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล
เว็บไซต์ที่ให้ใช้บริการฟรีอีเมล
  1. www.sabuyjai.com
  2. www.narakmai.com
  3. www.hotmail.com
  4. www.gmail.com  
การใช้ฟรีอีเมลของ Gmail.com
  1. เข้าเว็บไซต์ www.gmail.com
  2. จะปรากฏหน้าจอ
  3. ถ้าต้องการสมัครใหม่ ให้คลิกที่ เพิ่มบัญชี
  4. ให้คลิกที่ สร้างบัญชี
  5. ทำกรอกรายละเอียดเป็นภาษาไทย
  6. เมื่อกรอกครบถ้วนเเล้ว ให้คลิกเลือที่ฉันยอมรับข้อกำหนดในการบริการ เเล้วคลิกที่ขั้นตอนถัดไป
  7. ทำการยืนยันโดยเลือกการส่งรหัสทาง sms หรือโทรศัพท์ เเล้วคลิกที่ทำต่อ
  8. ให้เข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนเอง ซึ่งจะส่งรหัสเพื่อยืนยันการใช้ เเล้วนำมากรอกในส่วนนี้ เสร็จเเล้วคลิก ทำต่อ
  9. จะปราากฎกรอบเพื่อให้เเสดงรูปภาพของตนเองหรือไม่ ถ้าต้องการ ให้คลิกที่เพิ่มรูปภาพ
  10. ให้คลิกที่เลือรูปภาพจากคอมพิวเตอร์ของคุณ
  11. แล้วคลิกที่ เลือกรูปโปรไฟล์
  12. เลือกรูปโปรไฟล์ที่ต้องการ
  13. เสร็จแล้วให้คลิกที่ ตั้งเป็นรูปโปรไฟล์
  14. จะปรากฏหน้าจอ เเล้วให้คลิกที่ ขั้นตอนถัดไป
  15. จะปรากฏข้อความยินดีต้อนรับ แสดงว่า การสมัครฟรีอีเมลของ Gmail เสร็จเรียบร้อย
คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับอีเมล


  1. TO หมายถึง ชื่อ email สำหรับผู้รับ
  2. FROM หมายถึง email.com สำหรับผู้ส่ง
  3. SUBJECT หมายถึง ชื่อเรื่องหรืเนท้อหาของจดหมาย
  4. CC หมายถึง สำเนา email ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง
  5. BCC หมายถึง ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง เเต่ผู้รับ (TO) จะไม่ทราบว่าเราสำเนาให้ใใครบ้าง หรือเรียกว่าซำเนาซ่อน
  6. ATTACHMENT หมายถึง การแบบไฟล์ข้อมูลไปพร้อมกับ email 
  7. sing in หมายถึง การลงชื่อเข้าใช้
  8. sing out หมายถึง การลงชื่ออกจากการใช้       

    บริการต่างๆ บนอินเตอร์เน็ต social net works


    Social Network หมายถึง สังคมออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา และได้ทำความรู้จักกับเพือนหรือคนอื่นๆ และยังสามารถแนะนำตัวเองได้เช่นHi,Friendster, MySpace, FaceBook, Orkut,Bebo,Tagged เป็นต้น 
    Social Network ยังเป็นการที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง 
          เว็บไซต์ Social Network เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเว็บที่สร้างขึ้นมาเพื่อการตอบสนองความต้องการในการติดต่อธุรกิจหรือหาเพื่อนบนโลกไซเบอร์ทั้งสิ้น ดังที่พบได้ในปัจจุบัน ซึ่งมีความนิยมเป็นอย่างมากในโลกของอินเทอร์เน็ต ถัดไปเราจะมาทำความรู้จักเว็บไซต์ Social Network ของแต่ละบริษัทที่ได้รับความนิยมจากทั่วทุกมุมโลกรวมถึงในประเทศไทย
    \
                                          1.Hi5 (www.hi5.com)


    เว็บ Hi5 เป็นเว็บที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีผู้ใช้บริการกว่า 7 แสนคน สำหรับหลายคนที่รู้จักและใช้บริการอยู่คงจะไม่ต้องอธิบายกันมากนัก เพราะคงรู้จุดประสงค์และการใช้งานดีอยู่แล้ว แต่หลายๆคนยังไม่ทราบว่าเจ้า hi5 นี่ใช้งานยังไง มีทำไม และเพื่อประโยชน์อะไร 
           Hi5.com เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้บริการมาฝาก profile ของตัวเอง มีลักษณะคล้ายกับ blog จะเน้นที่ตกแต่งหน้าตา profile เราให้สวยงาม ดึงดูดคนมาเข้า แต่จุดเด่นของมันอยู่ที่ ระบบ network ที่เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ 
            ข้อดีของ Hi5
    1. มีโอกาสได้เพื่อนใหม่ๆและเพื่อนเก่า ที่บางคนอาจจะเลือนหายไปกับความทรงจำ
     

    2. มีการเก็บรักษาความส่วนตัว ที่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง
     
    3. วิธีการสมัครง่าย และวิธีการตกแต่ง 
    hi5 ให้สวยงามก็ทำได้ง่าย
    4. มีลักษณะเหมือน 
    blog ทั่วไป แต่มีความทันสมัยและนิยมใช้งานกันมาก 

            ข้อเสียของ Hi5
    1. หากมีการพัฒนาหรือปรับปรุงเว็บ เครือข่ายอาจจะล่มในบางครั้ง
    2. การใส่ลูกเล่นหรือการปรับแต่งอาจมีน้อย เพราะมี 
    pattern 
    อยู่แล้ว สิ่งที่จะปรับได้ก็จะเป็นในส่วนของแบคกราวน์ สีตัวอักษร ตัวอักษร ใส่เพลง วิดีโอและคลิป
    3. ไม่มีประโยชน์เท่ากับการทำบล็อก เพราะคนจะเข้ามาดูรูปและข้อความเป็นส่วนใหญ่ 
    2. Friendster (www.friendster.com)
            Friendster ได้ก้าวขึ้นมาสู่แนวหน้าของเว็บไซต์ Social Network เมื่อประมาณเดือนเมษายน ปี 2004 ก่อนจะถูกครองตลาดโดย MySpace ในเรื่องของผู้เข้าชมและจากการจัดอันดับของ Social Network นั้น Frienster ได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่แข่งของทั้ง WindowsLive,MySpaces,Yahoo!360 และ Facebook ซึ่งในเวลาต่อมาก็ยังมี Hi5 ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญอีกด้วย 
           บริษัทเสริช์เอนจิ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Google เคยยื่นข้อเสนอขอซื้อ Friendster ในมูลค่า 30,000,000 ดอร์ลาห์สหรัฐ แต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะทาง Friendster ตัดสินใจว่าต้องการเป็นของส่วนตัวมากกว่าที่จะยื่นขายให้กับ Google และในปัจจุบันเว็บ Social Networkอย่าง Friendster.com มีผู้ใช้งานมากกว่า 7 ล้านคนภายในปีเดียว 
    3. MySpace (www.myspace.com)
            My Space คือ เว็บบล็อก ที่ทาง msn ให้ผู้ที่ใช้ msn ได้เข้าไปใช้บริการกัน ก็ Web Blog อยากให้เรานึกง่ายๆ ว่ามัน คล้าย กับไดอะรี่ แต่ไม่ใช่นะครับ ย้ำ ว่า บล็อก ไม่ใช่ ไดอะรี่ โดยบล็อกจะมีความหลากหลายมากกว่า เพราะในบล็อก ผู้ที่เป็นเจ้าของเนื้อที่นั้น จะเป็นผู้ที่ดูแลเนื้อหาว่าจะให้เป็นแนวไหน หรือว่าจะเป็นเนื้อเรื่องอะไร ส่วนหลายคนเอามาเป็นไดอะรี่ นั้น ผิดไหม คงไม่ผิด คือมันแล้วแต่ว่า ผู้ดูแลจะเป็นอย่างไร 
            มายสเปซ(MySpace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของเครือข่ายชุมชน ชื่อดังเว็บหนึ่ง ให้บริการทำเว็บส่วนตัว บล็อก การเก็บ ภาพ วิดีโอ ดนตรี และเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มคนอื่น มายสเปซมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เบเวอร์ลีย์ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มายสเปซก่อตั้งเมื่อ สิงหาคม ปี 2003 โดย ทอม แอนเดอร์สัน และ คริสโตเฟอร์ เดอโวล์ฟ ในปัจจุบัน มายสเปซมีพนักงานกว่า 300 คน และในตัวเว็บไซต์มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 100 ล้านคน และมีผู้ลงทะเบียนใหม่ประมาณ 200,000 คนต่อวัน 
            ข้อดีของ MySpace 
            1. มีลูกเล่นค่อยข้างมากกว่าไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Layout, Music ,Photo เป็นต้น รวมทั้ง
    2. มีการแสดงให้เห็นใน 
    Contact list ของ MSN 
    อีกด้วย
    3. สามารถกำหนดสิทธิคนที่จะเข้าดูได้หลายระดับ 

            ข้อเสียของ MySpace
    1. เปิดแสดงผลได้ช้ามาก หากบล็อกมีลูกเล่นเยอะ
    2. ยังไม่สามารถใส่ 
    script แบบไดอารี่ หรือ บล็อกในหลายๆ ที่ได้
    3. การเลือกจำนวนของ 
    Entry หรือบทความที่จะแสดงในหน้าแรกของบล้อกได้ต่ำสุดที่ 5 

    4. ความสามารถ ในส่วนของการกำหนดขนาดตัวอักษร ยังไม่มีมีการให้ใส่หรือเลือกขนาดตัวอักษรสำหรับบทความได้ในจุดไหน ซึ่งอันนีมีความสำคัญทีเดียว การเล่นตัวอักษรเล็กและใหญ่

    4. Face Book  (www.facebook.com)
          Mark Zuckerberg ก่อตั้ง Facebook เว็บชุมชนออนไลน์ (Social Networking Site) ที่กำลังได้รับความนิยมสุดขีดในขณะนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะยังเรียนอยู่ที่ Harvard ก่อนจะลาออกกลางคัน เจริญรอยตาม Bill Gates แห่ง Microsoft เพื่อเป็น CEO ของเว็บชุมชนออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้น ด้วยวัยเพียง 22 ปี เท่านั้น 
          ภายในเวลาเพียง 3 ปี เว็บที่เริ่มต้นจากการเป็นเว็บชุมชนออนไลน์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย กลายเป็นเว็บที่มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียน 19 ล้านคน ซึ่งรวมถึงข้าราชการในหน่วยงานรัฐบาล และพนักงานบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ เข้าเว็บนี้เป็นประจำทุกวัน และขณะนี้กลายเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐ 1% ของเวลาทั้งหมดที่ใช้บน Internet ถูกใช้ในเว็บ Facebook 
          นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับเป็นเว็บที่ผู้ใช้ Upload รูปขึ้นไปเก็บไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนรูปที่ถูก Upload ขึ้นไปบนเว็บ 6 ล้านรูปต่อวัน และกำลังเริ่มจะเป็นคู่แข่งกับ Google และเว็บยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในการดึงดูดวิศวกรรุ่นใหม่ใน Silicon Valley นักวิเคราะห์คาดว่า Facebook จะทำรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ 
    Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook เว็บ Social Network อันโด่งดัง
          Zuckerberg เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อของ Yahoo ซึ่งเสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่า Viacom เสนอซื้อ Facebook ด้วยเงิน 750 ล้านดอลลาร์ คำถามคือ การตัดสินใจของ Zuckerberg ครั้งนี้ ถูกต้องหรือไม่ ในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีเว็บยุคใหม่ที่เรียกว่า Web 2.0 ที่โด่งดัง 2 แห่ง ที่เพิ่งถูกขายให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ นั่นคือ MySpace ที่ถูก News Corp ซื้อไปด้วยเงิน 580 ล้านดอลลาร์ และ YouTube ที่ยอมรับเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์จาก Google ขณะที่ในอดีตเว็บ Friendster เว็บชุมชนออนไลน์ที่โด่งดังเป็นเว็บแรก เคยปฏิเสธการเสนอซื้อด้วยเงิน 30 ล้านดอลลาร์จาก Googleในปี 2002 ซึ่งหากจ่ายเป็นหุ้น ป่านนี้คงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น Friendster ซึ่งเป็นเว็บรุ่นเก่า ก็ถูกบดบังรัศมีโดยเว็บรุ่นใหม่ๆ 
           Facebook จะประสบชะตากรรมอย่างเดียวกับ Friendster หรือไม่ ในขณะที่เว็บชุมชนออนไลน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน Zuckerberg ยอมรับว่าเขาเป็น Hacker แต่ไม่ใช่ในความหมายของนักเจาะระบบ Hacker ของเขาหมายถึงการนำความพยายามและความรู้ที่ทุกคนมีมารวมกัน แบ่งปันกัน เพื่อบรรลุสิ่งที่ดีกว่า เร็วกว่าหรือใหญ่กว่า ซึ่งคนๆ เดียวทำไม่ได้ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดกว้าง การแบ่งปันข้อมูล เขาสร้างสิ่งที่เรียกว่าHackathon ใน Facebook ซึ่งคล้ายกับการระดมสมองสำหรับวิศวกร 
           อย่างไรก็ตาม Facebook กลับมีกำเนิดมาจากการเจาะระบบจริงๆ เมื่อ Zuckerbergเรียนอยู่ที่ Harvard เขาพบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีหนังสือรุ่นที่เรียกว่า FaceBook ซึ่งจะเก็บรายชื่อนักศึกษาพร้อมรูปและข้อมูลพื้นฐาน เหมือนอย่างมหาวิทยาลัยทั่วไปZuckerberg ต้องการจะทำหนังสือรุ่นออนไลน์ของ Harvard แต่ Harvard กลับปฏิเสธว่า ไม่สามารถจะรวบรวมข้อมูลได้ Zuckerberg จึงเจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของ Harvard และทำเว็บไซต์ชื่อ Facemash ซึ่งจะสุ่มเลือกรูปของนักศึกษา 2 คนขึ้นมาและเชิญให้ผู้เข้ามาในเว็บเลือกว่าใครหล่อกว่ากัน 
           ภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้าไปในเว็บของ Zuckerberg 450 คน และมีสถิติการชมภาพ 22,000 ครั้ง ทำให้ Harvard ห้าม Zuckerberg ใช้ Internet และเรียกตัวไปตำหนิ เหตุการณ์จบลงโดย Zuckerberg กล่าวขอโทษเพื่อนนักศึกษา แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง ต่อมา Zuckerberg จัดทำแบบฟอร์ม Facebook เพื่อให้นักศึกษาเข้ามาเขียนข้อมูลของตนเอง Thefacebook.com ซึ่งเป็นชื่อเริ่มแรกของ Facebook เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นักศึกษาครึ่งหนึ่งของ Harvard ลงทะเบียนในเว็บแห่งนี้ และเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ของนักศึกษา Harvard ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นเริ่มติดต่อ Zuckerberg ขอให้ทำหนังสือรุ่นออนไลน์ให้แก่มหาวิทยาลัยของพวกเขาบ้าง จึงเกิดพื้นที่ใหม่ใน Facebook สำหรับ Stanford และ Yaleภายในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน โรงเรียนอีก 30 แห่งเข้าร่วมใน Facebook ตามมาด้วยโฆษณาที่เกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษา และธุรกิจที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ทำให้เว็บชุมชนแห่งนี้ เริ่มสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ 
           ขณะนี้ Facebook กำลังจะเพิ่มจำนวนวิศวกรจาก 50 คนอีกเท่าตัวภายในปี 2010 และเพิ่มจำนวนพนักงานบริการลูกค้าซึ่งมีอยู่ 50 คน เพราะจำนวนผู้ใช้รายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น 100,000 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษของ Facebook เติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน ซึ่งมีข่าวว่า เจ้าชาย Harry แห่งอังกฤษและเพื่อนสาวคนสนิทก็เป็นผู้ใช้ Facebook ด้วย และ 28% ของผู้ใช้ Facebookทั้งหมด อยู่นอกสหรัฐฯ นอกจากนี้ อายุของผู้ใช้ Facebook เริ่มหลากหลายมากขึ้น ผู้ใช้อายุ 25-34 ปีมี 3 ล้านคน อายุ 35 - 44 ปี มี 380,000 คนและอายุเกิน 64 ปีมี 100,000 คน 3 ปีก่อน Zuckerberg ยังเป็นนักศึกษาของ Harvard แต่ขณะนี้เขาเป็นผู้บริหารเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ที่กำลังโด่งดังที่สุด และเพิ่งได้รับเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมผู้นำการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์อย่างไม่ใยดี
    6. Bebo  (www.bebo.com)
              Bebo เป็นเครือข่ายทางสังคมแห่งยุคอนาคตที่ทำให้นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยสามารถติดต่อกับเพื่อน หาเพื่อนที่ขาดการติดต่อกันไปนาน และพบปะกับผู้คนใหม่ๆ หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฏาคมปีที่แล้วในเวลาเพียงแค่ 7 เดือน เครือข่ายทางสังคมแห่งนี้ก็มีสมาชิกจดทะเบียนมากกว่า 22 ล้านรายที่เข้ามาดูหน้าเว็บเพจถึงกว่า 700 ครั้งต่อเดือน Bebo เป็นบริษัทเอกชนที่บริหารงานโดยทีมบริหารที่มีประสบการณ์ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทได้เปิดตัวเว็บไซท์เครือ ข่ายสังคมลำดับแรกๆคือ Ringo.com ซึ่งต่อมาเขาได้ขายเว็บดังกล่าวให้แก่ Tickle (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Monster ในปัจจุบัน) และล่าสุด อดีตประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจจาก Friendster ได้เข้ามาร่วมงานกับ Bebo นอกจากนี้ ทีมงานของBebo.com ยังเปิดเว็บไซท์อีกเว็บที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word of mouth)นั่นคือ BirthdayAlarm.com ซึ่งมีสมาชิก 40 ล้านคน 
              Bebo เป็น Social Network ที่ถูกออกแบบมาดี โทนสีของเว็บไซต์ดูแล้วสบายตา ใช้งานง่าย มีการจัดระบบติดต่อผู้ใช้ได้ดี คนที่ไม่มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้แบบไม่ติดขัด รูปร่างหน้าตาของบล็อกดูไม่รกหูรกตา รองรับการปรับแต่งได้หลากหลาย 
    7. Twitter (www.twitter.com)
               ทวิตเตอร์(Twitter) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หรือ ทำการทวีต (tweet - ส่งเสียงนกร้อง) ทวิตเตอร์ก่อตั้งโดยบริษัท Obvious Corp เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2006 ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ข้อความอัปเดตที่ส่งเข้าไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยู่บนเว็บเพจของผู้ใช้คนนั้นบนเว็บไซต์ และผู้ใช้คนอื่นสามารถเลือกรับข้อความเหล่านี้ทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์,อีเมล,เอสเอ็มเอส,เมสเซนเจอร์หรือผ่านโปรแกรมเฉพาะอย่างTwitterific Twhirl ปัจจุบันทวิตเตอร์มีหมายเลขโทรศัพท์สำหรับส่งเอสเอ็มเอสในสามประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร 
               ปัจจุบันประเทศไทยเองก็มีบริการลักษณะนี้เช่นกัน นั่นคือ Noknok และKapook OnAir เว็บไซต์แห่งหนึ่งถึงกับรวบรวมบริการแบบเดียวกับทวิตเตอร์ได้ถึง 111 แห่ง ตัวระบบซอฟต์แวร์ของทวิตเตอร์เดิมทีนั้นพัฒนาด้วย Ruby on Rails จนเมื่อราวสิ้นปี ปี 2008 จึงได้เปลี่ยนมาใช้ภาษา Scala บนแพลตฟอร์มจาวา จนกระทั่งปี 2009 ทวิตเตอร์ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมาก จนนิตยสารไทม์ ฉบับวันที่ 15 ปี 2009 ได้นำเอาทวิตเตอร์ขึ้นปก และเป็นเรื่องเด่นประจำฉบับ ภายในนิตตสารบทบรรณาธิการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอข่าวที่มีที่มาจากเทคโนโลยีใหม่อย่างทวิตเตอร์ โดยทวิตเตอร์เป็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งขึ้นโดย แจ็ก คอร์ซีย์ บิซ สโตน และอีวาน วิลเลียมส์ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2006 
    8. Multiply (www.multiply.com)
                  มัลติพาย (multiply) เป็นเว็บไซต์ Social Network ที่ให้บริการบล็อก(Blog) หรือเว็บบล็อก (Weblog) เป็นเว็บไซต์สำหรับเขียนบันทึกเล่าเรื่องราวประจำวัน เพื่อสื่อสารความรู้สึกนึกคิด มุมมอง ประสบการณ์ ความรู้ และข่าวสาร ในเรื่องที่ผู้เขียน(Blogger) สนใจโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้บล็อกต่างกับเว็บบอร์ด และเนื่องจากความจริงใจ และอิสระทางความคิดที่สื่อสารออกไป ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของการบอกถึงความเป็นตัวตน ของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้บล็อก(Blog) เป็นสื่อที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันและนานาประเทศ 
                 มัลติพายเป็น Blog บริการฟรีโดย Multiply สามารถจัดการ เรียบเรียงเรื่องราวใหมๆ ลงสูอินเทอรเน็ตได้ เราสามารถนํา Multiply มาทําเป็นลักษณะของไดอารี่ออนไลนไดโดยจะเปนการเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ได้ ไมมีขอบเขตจํากัด สามารถนํารูปภาพ วิดีโอ พร้อม ทั้งบันทึกผานออนไลนไดพรอมกันนั้นยังสามารถ Comment เรื่องราวตางๆ  ที่ผูเขียนเขียนขึ้นไดอีกดวย รวมถึงมีสมุดเยี่ยมบนออนไลนให้ทุกๆ คนไดมีความสนุกสนานกับการเขาเยี่ยมชม
    9. Flickr (www.flickr.com)
                   Flickr เป็นเว็บไซต์ที่มีต้นกำเนิดจากแคนาดาในปี 2004 ซึ่งบริษัท Ludicorp ที่สร้าง Flickr นี้เป็นบริษัทที่ทำเกมออนไลน์มาก่อน ในตอนแรกนั้นทางบริษัท จะเน้นไปที่ห้องแชตที่สามารถแชร์รูปให้กับคู่สนทนาได้ แต่ต่อมาได้รับความนิยมอย่างสูง จนกลายเป็นเว็บไซต์เพื่อการแชร์รูปที่มีผู้เข้าใช้งานจำนวนมาก จนทำให้ Yahoo หันมาสนใจธุรกิจนี้และนำเอากิจการของ Flickr มาปรับให้มีขนาดใหญ่และรองรับสมาชิกของ Yahoo เองด้วย ผู้ใช้งานWebmail ของ Yahoo ก็สามารถใช้ Username และ Password ที่ใช้กับเมลมาใช้กับ Flickr ได้ทันทีโดยไม่ต้องสมัครใหม่ ทำให้ผู้ใช้งาน Flickr ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว 
    การใช้งานของ Flickr นั้นทำได้อย่างง่ายดาย โดยการอัพโหลดรูปนั้นทำได้โดยเลือกรูปในคอมพิวเตอร์ของเราอัพโหลดขึ้น เว็บไซต์ทีละรูป นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถโหลดโปรแกรม Upload ที่เป็น Application สำหรับการใช้งานบนWindows เพื่อช่วยในการอัพโหลดภาพให้ง่ายมากขึ้น เหมาะกับการอัพโหลดคราวละมากๆครับ 
    ความสามารถในจัดเก็บรูปภาพมีมากขึ้นและสะดวกขึ้น ตัวอย่างเช่น 
    - สามารถทำการถ่ายข้อมูลรูปภาพจากกล้องดิจิตอลไปลงในคอมพิวเตอร์ได้)
    - สามารถจัดเก็บรูปภาพตามหมวดหมู่ให้เลือกมากขึ้น แถมด้วยแผนที่เพิ่มเติมให้ทราบถึงแหล่งที่มาอีกด้วย
    แชร์รูปภาพกับเพื่อนหรือครอบครัวได้หรือสั่งการได้ตามต้องการหรืออาจแชร์สู่ที่สาธารณะ
    ให้อำนาจในการจัดการมากขึ้น เราสามารถอนุญาตให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวของเราเข้ามาจัดตกแต่งหรือทำอะไรได้ตามที่เราต้องการ ภายใต้การควบคุมของเรา
    สามารถทำบล๊อกได้
    ถ่ายโอนภาพจากที่อื่น เข้าอัลบัม flickr เพื่อรวบรวมไว้ในที่เดียวได้ 
    10. Odoza (www.odoza.com)
                      เว็บไซต์ Social Network ของเมืองไทยบ้านเรา กันดูบ้าง หากจะมองว่าเว็บไซต์ Social Network ในประเทศไทยจะมีเว็บไหนได้บ้าง ลองดูเว็บไซต์  ที่มีความชัดเจนในเนื้อหาเฉพาะด้าน อย่าง Social Network เรื่องของการท่องเที่ยว อย่างเว็บไซต์odoza (โอโดซ่า) ที่ให้คนที่ชื่นชอบในเรื่องท่องเที่ยวได้มาทำความรู้จักกัน ได้มีพื้นที่ในการshare รูปภาพหรือวีดีโอคลิป ที่ตนเองได้ไปเก็บภาพหรือได้ไปเที่ยวมาแบ่งปันกัน หากใครเป็นผู้ที่รักการท่องเที่ยว อยากจะแบ่งปันข้อมูลรูปภาพแหล่งท่องเที่ยวหรือวิดีโอก็สามารถใช้บริการ Social Network ของไทยเว็บนี้กันได้ 


    สรุป  Social Network 


    Social Network นั้นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ แต่เป็นเรื่องที่แทรกซึมเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราทีละน้อยแบบไม่รู้ตัวมานานแล้ว เว็บไซต์ที่เราเข้าไปใช้งานเกือบทุกเว็บได้ผันตัวเองจากผู้ให้บริการข้อมูล มาเป็นผู้ให้บริการระบบที่เปิดโอกาสให้สมาชิกได้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตข้อมูลด้วยตัวเอง จนกระทั่งเป็น Social Network Site หรือเว็บไซต์ชุมชุนออนไลน์ อย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด 
                Social Network Service นั้นเป็นการบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์บนเว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้คนหลากหลายเข้ามาใช้บริการร่วมกัน ให้กลุ่มคนเหล่านั้นสามารถทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรมความสนใจในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง โดยในบริการสังคมออนไลน์นั้นมักจะประกอบไปด้วย การส่งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ เป็นต้น 
    MSN Chat


    WebBoard

    เวบบอร์ด (Web board) หรือ กระดานข่าว คือบริการจากทางเวบไซต์ที่เปิดกว้างให้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็น และพูดคุยกันในเรื่องใดก็ได้ โดยการพิมพ์ข้อความเข้าไปแสดง (เรียกว่าการโพสท์-Post) รวมทั้งผู้ใช้ สามารถส่งรูปภาพมาลงด้วยได้

    เวบบอร์ดจะแบ่งเป็นกลุ่มตามความสนใจของผู้ใช้ซึ่งมีมากมาย และหลากหลายมาก ยกตัวอย่างเช่น ถาม-ตอบปัญหาคอมพิวเตอร์ดูหนัง ฟังเพลง,ซื้อ-ขายของมือสอง ฯลฯ รวมทั้งเวบบอร์ดที่เป็นสื่อกลางพูดคุยเกี่ยวกับคนที่เข้ามาชมเวบไซต์นั้นๆ ซึ่งปัจจุบันจะมีประจำเกือบทุกเวบไซต์>

    กระทู้ คือแต่ละข้อความที่มีคนเข้ามาโพสท์แสดงความคิดเห็น หรือเปิดประเด็นในเรื่องต่างๆ โดยคนอื่นสามารถเข้าไปโพสท์แสดงความคิดเห็นต่อ หรือตอบกระทู้นั้นได้ 2. ประเภทของเวบบอร์ด
    1.เวบบอร์ดที่เปิดให้คนทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็นได้ เป็นเวบบอร์ดเปิดกว้างสำหรับทุกความคิดเห็นของทุกคน ใครก็สามารถเข้ามาตั้งกระทู้ ตอบกระทู้ และโพสท์ข้อความแสดงความคิดเห็นได้ บางเวบไซต์จะมีการรับสมัครสมาชิกด้วย เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น สามารถทำลิงค์ และโพสท์รูปได้ ตัวอย่างเช่น เวบบอร์ดของhttp://www.pantip.com
    2.เวบบอร์ดข่าวเด็ด ประเด็นร้อน เวบบอร์ดนี้จะมีกระทู้ซึ่งทางเวบไซต์นั้นๆ จะเป็นผู้ตั้ง เพื่อเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาแสดงความคิดเห็นในหัวข้อข่าว หรือประเด็นต่างๆ เช่น เวบบอร์ดของhttp://www.kapook.com
    3.เวบบอร์ดที่เปิดให้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น ต้องเป็นสมาชิกจึงจะ Log in เข้าไปโพสท์ข้อความได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเวบบอร์ดของคณะ ชมรม บริษัท หรือกลุ่มต่างๆ 3. การใช้เวบบอร์ด
    1. เมื่อเข้าไปในหน้าเวบบอร์ดแล้ว สามารถเข้าไปตั้งกระทู้ใหม่ได้ โดยคลิกเข้าไปที่ ตั้งกระทู้ใหม่ แล้วพิมพ์ข้อความ ถ้าต้องการโพสท์รูปภาพให้คลิกที่ Browse แล้วเลือกไฟล์ภาพที่ต้องการ บางเวบไซต์ต้องสมัครสมาชิกก่อนจึงจะสามารถโพสท์รูปได้





    2. วิธีการตอบกระทู้ ให้คลิกเข้าไปที่กระทู้นั้นๆ จะปรากฏหน้าจอให้เข้าไปโพสท์ข้อความได้ เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จให้คลิกที่ปุ่ม ส่งข้อความ ข้อความของคุณจะถูกส่งขึ้นไปในเวบบอร์ดโดยอัตโนมัติ

    4. คำแนะนำ และมารยาทในการใช้เวบบอร์ด

    1.ไม่เสนอข้อความที่พาดพิง หรือหมิ่นต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    2.ใช้ถ้อยคำที่สุภาพไม่ใช้ข้อความ และรูปภาพที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร ท้าทาย หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดการเข้าใจผิด อันจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง และไม่เสนอข้อความที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย

    3.ไม่เสนอข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น หมิ่นประมาท หรือนำข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นมาเผยแพร่

    4.ระมัดระวัง ไม่ตั้งกระทู้ที่ซ้ำซ้อนกับกระทู้ที่ตั้งมาก่อนแล้ว และไม่ตั้งผิดกลุ่ม ผิดเป้าหมายของเวบ บอร์ดนั้นๆ

    5.ไม่ควรใส่เบอร์โทรศัพท์ในการติดต่อกับบุคคลอื่น ให้ใส่เบอร์อีเมล์ หรือ Icq แทน

    6.เปิดใจให้กว้าง เคารพ และยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นของผู้อื่น หากพบข้อความที่ส่อไปในทางชวนทะเลาะ ไม่ควรโต้ตอบ

    7.ไม่ใช้นามแฝง หรือชื่อจริงของผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการเข้าใจผิดต่อการเป็นเจ้าของข้อความนั้น และอาจทำให้เจ้าของชื่อได้รับความเสื่อมเสีย

    5. ประโยชน์ และข้อเสียของเวบบอร์ด
    ประโยชน์ของเวบบอร์ด1.เป็นสื่อกลางที่เป็นเหมือนเวทีให้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นแบบเสรี ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็สามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้

    2.เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ โดยคุณสามารถเข้าไปตั้งคำถาม เพื่อไขข้อข้องใจ หรือตอบกระทู้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ให้แก่คนอื่น


    ข้อเสียของเวบบอร์ด

    1.สามารถใช้เป็นเครื่องมือของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ โดยการโพสท์ข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย โพสท์ข้อความและรูปลามก อนาจาร หรือข้อความที่ยุยงส่งเสริมให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ฯลฯ



    2.สามารถใช้เป็นช่องทางหากินของมิจฉาชีพได้


    3.ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์จนเกินขอบเขต กลายเป็นเรื่องไร้สาระ และผู้ส่งข้อความไม่แสดงความรับผิดชอบต่อข้อความนั้น

    4.การใช้เวบบอร์ดในทางที่ผิด ส่งผลให้เกิดการหมกมุ่น หรือใช้เวลากับเวบบอร์ดมากจนเกินความจำเป็น เป็นการเสียเวลา และส่งผลเสียกับผู้ใช้ในหลายๆ ด้าน




    MSN Messenger หรือที่ เราชอบเรียกกันว่า msn มันก็คือ โปรแกรมส่งข้อความข้าม ระบบเน็ทเวิร์ค แบบทันทีทันใด หรือภาษาฝรั่งเรียกว่า IM (Instant Messenger) ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท ไมโครซอฟ โดยสามารถใช้ได้ร่วมกับระบบปฎิบัตการ วินโวส์ ทั้ง XP, vista, 7, server 2003, server 2008และ windows mobile. ซึ่งก่อนหน้านี้จะรู้จักกันในชื่อของ "เอ็มเอสเอ็นเมสเซนเจอร์" (MSN Messenger) และยังเป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศไทย ผู้ใช้มักยังเรียกสั้น ๆ ว่า "เอ็มเอสเอ็น"หรือ"เอ็ม" ตามชื่อเก่า วินโดวส์ไลฟ์เมสเซนเจอร์ เป็นส่วนหนึ่งของชุดบริการออนไลน์วินโดวส์ไลฟ์

     
    จากรูปด้านบน คือหน้าตาของโปรแกรม msn ครับซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองส่วน

    1. หน้าต่างหลัก: ที่หน้าต่างนี้จะแสดงชื่อของเพื่อนๆ เราครับ ทั้งคนที่ online และoffline ซึ่งเวลาเราจะคุยกับเพื่อนคนไหน ก็สามารถดับเบิ้ลคลิ๊ก ที่ชื่อแล้ว หน้าต่างอีกอันจะแสดงขึ้นมา (รูปด้านขวามือ) เราก้อสามารถพิมพ์ข้อความส่งให้เพื่อนได้ทันที

    2.หน้าต่างที่เราคุยกับเพื่อน: ที่หน้าต่างนี้เราสามารถพิมพ์ข้อความ คุยกับเพื่อนได้ทันที แล้วคุณยังสามารถให้ msn แสดงรูปภาพของเรา โดยที่ ทางฝั่งเพื่อนของเรา ก็จะเห็นรูปดังกล่าวเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถส่ง icon ต่างๆ เพื่อสื่ออารมณ์ เพิ่มความสนุกสนานในการ chat ได้อีกด้วย

    อ้อ! ที่สำคัญก่อนใช้เนี่ย ผู้ใช้ต้องมี Email ของ Hotmail หรือ MSN ก่อนนะหากใครไม่มี ต้องไปสมัครที่ http://www.hotmail.com/ ก่อนนะครับ ข้อมูลได้มาจากhttp://www.thaimsn.net.com/


    Youtube เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรีคะ โดยนำเทคโนโลยีของ Adobe Flash มาใช้ในการแสดงภาพวิดีโอ เนื้อหาของ YouTube ประกอบด้วย คลิปวิดีโอ ที่ให้บริการรับชมกันผ่านหน้าเว็บแบบฟรีๆ ไม่เสียเงิน โดยคลิปวิดีโอส่วนใหญ่จะมาจากทางบ้าน หรือใครๆ ที่ต้องการโชว์ความสามารถต่างๆ ของตนเองก็สามารถอัพโหลดไฟล์วิดีโอขึ้นสู่หน้าเว็บได้
    YouTube ใช้ระบบในการให้บริการโดยใช้โปรแกรม Adobe Flash เรียบเรียงเนื้อหาบนเว็บไซต์ รวมไปถึงไฟล์วิดีโอตัวอย่าง ไฟล์หนังละคร มิวสิกวิดีโอ และวิดีโอจากทางบ้าน โดยไฟล์วิดีโอที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ส่วนมากเป็นเพียงไฟล์คลิปสั้นๆ เท่านั้น ความยาวเพียงไม่กี่นาที ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าชมได้ง่าย โดยมีการแบ่งประเภทและจัดอันดับไฟล์คลิปวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ล่าสุด ไฟล์ที่มีผู้ชมมากที่สุด ไฟล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพื่อให้ผู้ชมสามารถเลือกชมได้อย่างสะดวก เพื่อเลือกสิ่งที่พอใจสูงสุด และยังมีบริการที่สามารถดูวิดีโอได้ทีละเฟรม โดยเลือกดูส่วนใดๆ ของวิดีโอก็ได้

    ปัจจุบัน YouTube เป็นเว็บไซต์ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างมากบนอินเตอร์เน็ต โดยในหนึ่งวันมีผู้เข้าชมเปิดคลิปวิดีโอดูถึง 100 ล้านเรื่องต่อวัน และในแต่ละวันจะมีผู้เข้ามาอัพโหลดคลิปวิดีโอใหม่ๆ ถึง 65,000วิดีโอคลิป เฉลี่ยต่อเดือนมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้ถึง 20 ล้านคน ภายในเว็บไซต์ YouTube มีไฟล์วิดีโอทั้งหมดมากกว่า ล้านไฟล์ โดยวิดีโอที่แพร่ภาพอยู่บน YouTube มีทั้งภาพยนตร์ คลิปจากรายการทีวี และมิวสิควิดีโอ รวมถึงวิดีโอสมัครเล่นที่เรียกว่า บล็อกวิดีโอ



    ประโยชน์ของ Youtube
    ประโยชน์ของ Youtube มีอยู่มากมาย สามารถดูเพลง มิลสิควิดีโอ หนังสั้น และคลิปเกือบทุกๆเรื่อง ที่เราอยากรู้ บางสิ่งบางอย่างอาจเป็นแนวทางในการค้นหาคำตอบ เช่น การดูคลิปการฝึกเล่นกีตาร์ คลิปฝึกเต้น Breakdanceเป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า Youtube นั้น มีประโยชน์ต่อเราเป็นอย่างมาก อีกอย่าง Youtube ยังจะสามารถที่จะอัพโหลดคลิปของเราที่ถ่ายทำขึ้น ให้ผู้คนที่สนใจเข้าชมเว็บ Youtube ไว้ดูได้อีกด้วย